เราออกเดินทางกันแต่เช้า เพื่อไปเจอหัวหน้าทัวร์ตอน 8 โมง ทริปไปปักกิ่งครั้งนี้ เป็นทริปแรกสำหรับครอบครัว ทุกคนจึงรู้สึกตื่นเต้นมาก พอไปถึงสนามบินหัวหน้าทัวร์ก็ชูป้ายรับ หลังจากจัดการเรื่องกระเป๋า เช็คอินและผ่านขั้นตอนตรวจคนเข้าเมืองเรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลาออกเดินทางสู่เมืองปักกิ่ง ช่วงที่เดินทางเป็นช่วงต้นเดือนกันยายนอากาศกำลังเย็นสบายไม่ร้อนไม่หนาวจนเกินไป เราออกเดินทางจากกรุงเทพ 10 โมง ใช้เวลาเกือบ 5 ชั่วโมง ไปถึงปักกิ่งประมาณ 4 โมงเย็นเวลาของปักกิ่ง (เวลาของปักกิ่งเร็วกว่าเวลาของไทยประมาณ 1 ชั่วโมง)
พอไปถึงสนามบินปักกิ่งสิ่งแรกที่ต้องพิสูจน์คือห้องน้ำ พวกเราต่างแยกย้ายกันไปเข้าห้องน้ำ ซึ่งเราได้รู้ว่าห้องน้ำที่สนามบินปักกิ่งนั้น ทันสมัยมาก ชักโครกกดราดน้ำเอง เพราะว่าคนจีนไม่นิยมราดน้ำ วิศวกรจึงออกแบบมาให้ชักโครกทำงานเองอัตโนมัติ สนามบินนานาชาติกรุงปักกิ่งนั้นกว้างใหญ่มาก เราทราบมาว่าสนามบินเปิดให้บริการเพื่อต้อนรับโอลิมปิก 2008 สามารถรองรับผู้โดยสารได้ 43 ล้านคน และจะเพิ่มเป็น 55 ล้านคนในปี 2015 สนามบินมีขนาดกว่า 1 ล้านตารางเมตร ใหญ่กว่าแพนตากอนของสหรัฐอเมริกา ออกแบบโดย FOSTER & PARTNERS (ผู้ออกแบบสนามบินเช็คแลปก๊อกที่ฮ่องกง) สถาปนิกนักเดินทางที่เข้าถึงจิตใจผู้โดยสาร ด้วยการออกแบบทางเดินแต่ละส่วนให้สั้นที่สุด
จากนั้นเราผ่านขั้นตอนตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากร และต้องขึ้นรถไฟฟ้าภายในสนามบินเพื่อไปรับกระเป๋า พอรับกระเป๋าเรียบร้อยเราก็เดินออกมาด้านนอก เจอไกด์คอยคณะทัวร์ของเราอยู่ ที่แรกที่ไกด์พาเราไปก็คือทุ่งลาเวนเดอร์ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสนามบินนัก ไกด์อธิบายให้เราทราบว่าดอกลาเวนเดอร์มี 2 สายพันธุ์ แต่ทั้ง 2 สายพันธุ์เป็นสีม่วง ทุ่งลาเวนเดอร์ที่เราไปเยี่ยมชมจึงเป็นทุ่งดอกไม้สีม่วงกว้างใหญ่สุดสายตา คณะของเราสนุกสนานกับการถ่ายภาพในสวนดอกไม้ จนได้เวลาทานอาหาร ไกด์จึงพาเราไปทานอาหารที่ภัตตาคาร อาหารที่ภัตตาคารจะจัดเป็นโต๊ะจีนนั่งประมาณ 10 คน โดยอาหารแต่ละเซทจะมีเมนูประมาณ 10 กว่าอย่างซึ่งจานใหญ่มาก รสชาติอร่อย ตบท้ายด้วยผลไม้ สำหรับคนไทยแล้วอาหารที่จัดมามักจะเหลือแทบทุกมื้อไกด์จีนเปรียบเทียบให้เราฟังว่า คนไทย 3 คน ทานข้าวเท่ากับคนจีน 1 คน
จากนั้นไกด์พาเราไปช้อปปิ้งที่ย่าน THE PLACE แหล่งช้อปแห่งใหม่ในปักกิ่งภาษาจีนเรียกว่า “shi mao tian jie” The Palace ตั้งอยู่บนถนน Dong Da Qiao Lu หรืออยู่ทิศเหนือของ Silk market มีของแบรนด์เนมให้เลือกช้อปอย่างเช่น ZARA, MNG, PROMOD, Mexx ห้างนี้เปิดได้ไม่นาน และยิ่งใหญ่สไตล์จีน เพราะมีจอ LCD ขนาดใหญ่ยักษ์ 6,000 ตารางเมตร จากนั้นจึงเข้าที่พักที่โรงแรม Holiday inn express hotel ซึ่งเป็นโรงแรม 4 ดาวและเราจะพักที่นี่เป็นเวลา 4 คืนตลอดการเดินทางในครั้งนี้
เช้าวันที่สอง หลังจากเราทานอาหารบุฟเฟ่ย์ที่โรงแรมแล้ว เราก็ออกเดินทางไปยังพระราชวังต้องห้าม ซึ่งใหญ่โตมาก ไกด์ได้อธิบายให้เราฟังว่าพระราชวังต้องห้ามสร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดิหย่งเล่อแห่งราชวงศ์หมิง เป็นทั้งบ้านและชีวิตของจักรพรรดิในราชวงศ์หมิงและชิงรวมทั้งสิ้น 24 พระองค์ พระราชวังเก่าแก่ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 500 ปี มีชื่อในภาษาจีนว่า ‘กู้กง’ หมายถึงพระราชวังเดิม มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ‘จื่อจิ้นเฉิง’ ซึ่งแปลว่า ‘พระราชวังต้องห้าม’ เหตุที่เรียกพระราชวังต้องห้าม เนื่องมาจากชาวจีนถือคติในการสร้างวังว่า จักรพรรดิเปรียบเสมือนบุตรแห่งสวรรค์ ดังนั้นวังของบุตรแห่งสวรรค์จึงต้องเป็น ‘ที่ต้องห้าม’ คนธรรมดาสามัญไม่สามารถล่วงล้ำเข้าไปได้ โบราณสถานแห่งนี้เป็นสิ่งก่อสร้างทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ที่สร้างขึ้นบนพื้นที่ 720,000 ตารางเมตร อาคารเครื่องไม้ที่ประกอบด้วยห้องต่างๆ ถึง 9,999 ห้อง เราได้ชมตำหนักว่าราชการพระตำหนักชั้นใน ห้องบรรทมของจักรพรรดิ์ และห้องว่าราชการหลังมู่ลี่ไม้ไผ่ของพระนางซูสีไทเฮา เราใช้เวลาในพระราชวังต้องห้ามอยู่ประมาณ 3 ชั่วโมง
จากนั้นเราก็เดินลอดอุโมงค์ใต้ดินข้ามถนนมายังอีกฝั่งเพื่อมาเยี่ยมชมจัตุรัสเทียนอันเหมิน ซึ่งเป็นจัตุรัสที่ใหญ่ที่สุดในโลก สัญลักษณ์ของประเทศจีนใหม่ซึ่งเป็นสถานที่จัดพิธีฉลองเนื่องในโอกาสสำคัญต่างๆซึ่งบริเวณนั้นยังเป็นที่ตั้งของอนุสาวรีย์วีรชนศาลาประชาคม จัตุรัสเทียนอันเหมินล้อมรอบด้วยสถาปัตยกรรมที่มีความสำคัญ ได้แก่ หอประตูเทียนอันเหมินที่ตั้งอยู่ทางทิศเหนือสุดของจัตุรัส ธงแดงดาว 5 ดวงผืนใหญ่โบกสะบัดอยู่เหนือเสาธงกลางจัตุรัส และเราได้แวะทานอาหารกลางวันที่ภัตตาคารหลังอาหารเราแวะไปที่ ศูนย์ใบชา ชิมชาอวู่หลงของปักกิ่ง และชาที่มีชื่อเสียงเช่น ชาแดง ชาผลไม้ ชามะลิ ชากุหลาบ และเรียนรู้เกี่ยวกับประโยชน์ของชาชนิดต่างๆ ที่ศูนย์ใบชาแห่งนี้เราสามารถต่อรองซื้อ 1 แถม 1 ได้อีกด้วย จากนั้นเราเดินทางต่อไปยังหอฟ้าเทียนถาน ซึ่งหอฟ้าเทียนถานนั้นมีขนาดใหญ่กว่าพระราชวังต้องห้ามถึง 4 เท่า เดิมเรียก กษัตริย์ราชวงศ์หมิงและชิงกระทำขึ้นเพื่อขอความสิริมงคลแก่ตน ขอฟ้าขอฝนให้พืชผลในไร่นาอุดมสมบูรณ์ พสกนิกรอยู่ร่มเย็นเป็นสุข
ปิดท้ายของวันด้วยการรับประทานอาหารและไกด์พาเราไป ศูนย์การค้าหวังฟู่จิ่ง ซึ่งเป็นที่ช้อปปิ้งที่ใหญ่ที่สุดในเมืองปักกิ่ง เป็นถนนเส้นยาวๆ สำหรับคนเดินห้ามรถทุกชนิดวิ่งผ่าน มีห้างสรรพสินค้า พลาซ่า และร้านค้าน้อยใหญ่เรียงรายสองข้างถนน รวมทั้งร้านอาหาร ร้านกาแฟ และร้านหนังสือ ครบครัน ส่วนใหญ่เป็นร้านค้าแบรนด์เนมราคาตายตัวต่อรองไม่ได้ และยังมีร้านกิ๊ฟช้อป ราคาย่อมเยาให้เลือกซื้อ นอกจากนี้ บริเวณใกล้เคียงยังมีถนนอาหารนานาชาติ ซึ่งน่าชมแต่เป็นสัตว์แปลกๆ อาทิ แมงป๋อง ตะขาบ ฯลฯ ที่ไม่ถูกปากคนไทยเท่าไหร่
เช้าวันที่สาม หลังอาหารไกด์พาเราไปผ่อนคลายด้วยการนวดฝ่าเท้าหลังจากวันก่อนเดินกันมาทั้งวัน ที่ศูนย์วิจัยทางการแพทย์แผนโบราณ เราได้ฟังเรื่องราวเกี่ยวกับการแพทย์โบราณตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน การส่งเสริมการใช้สมุนไพรจีนที่มีมานานนับพันปีพร้อมรับฟังการวินิจฉัยโรคโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ติดกันคือร้านหยกซึ่งเป็นหยกแท้ ของเมืองจีนพร้อมทั้งให้ท่านได้รับคำแนะนำและวิธีการดูหยก แต่ร้านหยกนี้ไม่สามารถต่อรองราคาได้ แต่ราคาถือว่าถูกเมื่อเทียบกับหยกที่เซินเจิ้น จากนั้นเราเดินทางต่อไปยังวัดลามะ ยงเหอกง ที่มีบัตรเข้าสถานที่เก๋ๆ เป็นแผ่น CD เล็กๆ เก็บเอาไว้เป็นที่ระลึกอีกด้วย วัดลามะเป็นสถานที่มีความวิจิตรและได้รับการบูรณะอย่างยอดเยี่ยมที่สุดในปักกิ่ง แต่เดิมเคยเป็นตำหนักที่ประทับของจักรพรรดิหย่งเจิ้น หรือองค์ชายสี่ผู้เป็นพระราชบิดาของจักรพรรดิเฉียนหลงแห่งราชวงศ์ชิง
ต่อมาตั้งแต่ช่วงกลางศตวรรษที่ 18 เป็นต้นมา ที่นี่ได้กลายป็นศูนย์กลางของศาสนาพุทธนิกายมหายาน และศิลปะแบบธิเบต นมัสการพระศรีอารยเมตไตรที่งดงามและสูงถึง 23 เมตร โดยเชื่อกันว่าเป็นงานแกะสลักจากไม้จันทน์เพียงชิ้นเดียว ซึ่งประดิษฐานอยู่ภายในศาลาหมื่นสุข ว่านฟู่เก๋อ เราไว้แวะทานอาหารที่ภัตตาคารก่อนที่จะเดินทางต่อไปยัง พระราชวังฤดูร้อน “อี้เหอหยวน” ของพระนางซูสีไทเฮา อุทยานที่ใหญ่ที่สุดของประเทศจีน พระราชวังฤดูร้อนอี๋เหอหยวนในปัจจุบันนี้ มีประวัติศาสตร์มาเกือบพันปีแล้ว มีภูมิประเทศของขุนเขางดงาม เหมือนภาพวาด อากาศเย็นสบาย การก่อสร้างพระราชวังฤดูร้อนนอกพระราชฐานนี้ดำเนินมาตลอดเวลา 800 ปีจวบจนกระทั่งสิ้นสุดกาลสมัยของราชวงศ์แมนจู ทำให้พระราชวังฤดูร้อนบริเวณชานกรุงปักกิ่งบนเขา 3 ลูก ได้แก่ เขาเซียงซัน เขาอี้ว์เฉวียนซัน และเขาวั่นโซ่วซัน มีพื้นที่กว้างใหญ่รวมทั้งสิ้นกว่า 100 ตารางกิโลเมตรอุทยานแห่งนี้เป็นที่ประทับของพระนางซูสีไทเฮาสมัยยังมีชีวิตอยู่ชมความงามของทะเลสาปจำลองคุนหมิงที่ขุดขึ้นด้วยแรงงานคนล้วน ชมเรือหินอ่อน ระเบียงกตัญญู ขากลับออกจากพระราชวังฤดูร้อนเรานั่งเรือล่องทะเลสาปออกมา ทะเลสาปที่นี่มีน้ำใสๆ มองเห็นสาหร่ายยาวๆ ข้างใต้น้ำนี้อีกด้วย หลังจากนั้นเราได้เดินทางไปเลือกซื้อผ้าไหมจีน ผ้าไหมจีนนั้นมีเนื้อผ้าที่ละเอียดกว่าผ้าไหมไทย และมีลวดลายที่สวยงาม เราได้ชมวิธีการนำเส้นไหมออกมาผลิตเป็นสินค้าทั้งใช้เครื่องจักร และแรงงานคน ชมการดึงใยไหมรังแฝด (แปลกแต่จริง) เพื่อมาทำใส้นวมผ้าห่มไหม ก่อนค่ำเราได้แวะรับประทานอาหาร หลังอาหาร ได้ชมการแสดงกายกรรมปักกิ่ง ประกอบด้วยแสงสีเสียง ที่ยิ่งใหญ่อลังการน่าชมเป็นอันมาก
เช้าวันที่สี่ หลังอาหารไกด์ได้พาเราไปที่พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้ง จัดสร้างในสมัยราชวงศ์หมิง ภายในพิพิธภัณฑ์ประกอบไปด้วยหุ่นขี้ผึ้งจำนวนมากมายที่จำลองประวัติศาสตร์ความเป็นมาของราชวงศ์หมิง ตั้งแต่เริ่มราชวงศ์ จนถึงการสิ้นสุดราชวงศ์ เราได้สวมใส่เสื้อผ้าของราชวงศ์หมิงและถ่ายรูปเป็นที่ระลึกอีกด้วย จากนั้น จากนั้นเราได้ไปเลือกซื้อยาสมุนไพรและครีมยาที่มีชื่อเสียงที่สุดของรัฐบาลจีน ได้แก่ เป่าฟู่หลิง หรือ บัวหิมะ ชมวิธีการสาธิตการใช้บัวหิมะบรรเทาอาการไฟไหม้ ฯลฯ ก่อนเที่ยวในโปรแกรมต่อไปได้แวะรับประทานอาหารเมนูสุกี้มองโกล หลังอาหารเราเดินทางต่อไปยังกำแพงเมืองจีน สิ่งมหัศจรรย์หนึ่งในเจ็ดของโลกในยุคกลางสมัยจักรพรรดิ จิ๋นซีฮ่องเต้ สร้างด้วยแรงงาน เลือดเนื้อ และชีวิตของคนนับล้านคน สมญานาม ‘กำแพงหมื่นลี้’ บริเวณกำแพงเมืองจีนยังมีร้านขายของที่ระลึก สำหรับคนที่ชื่นชอบการช็อปปิ้งอีกด้วย หลังจากนั้นเราแวะทานอาหารเป็ดปักกิ่งต้นตำหรับ หลังอาหารได้ไปชมการเพาะเลี้ยงไข่มุก น้ำจืดของเมืองจีน และเลือกซื้อสินค้าที่ทำมาจากไข่มุก เช่นเครื่องประดับ ครีมไข่มุก หรือผงไข่มุก จากนั้นไกด์ได้พาเราชมถนนวัฒนธรรม ได้สัมผัสกลิ่นไอวัฒนธรรมของจีนโบราณที่ยังคงความสวยงามน่าชมถึงปัจจุบัน เนื่องจากอาคารทั้งสองฟากฝั่งถนนนั้นยังคงความดั้งเดิมไว้อย่างน่าชื่นชม ที่นี่ยังมีสินค้าที่สวยงามและมีระดับ สินค้าที่นี่ก็หลากหลายเช่น แจกัน โคมไฟ กาน้ำชา และสินค้าพื้นเมืองอีกหลากชนิด โดยสินค้าทุกชนิดเป็นสินค้าที่ใช้ศิลปะหัตกรรมทั้งสิ้น สิ้นสุดวันด้วยการรับประทานอาหารและกลับเข้าที่พัก
เช้าวันที่ห้า วันสุดท้ายของการเดินทาง หลังอาหารไกด์ได้พาเราไปชม สนามกีฬาโอลิมปิค 2008 เป็นสถาปัตยกรรมของชาวเยอรมัน ชมอัฒจรรย์ใช้จัดพิธีเปิด-ปิดการแข่งขันกีฬามวลมนุษยชาติที่ปักกิ่ง ปี 2008 เป็นอัฒจรรย์ลักษณะคล้าย “รังนก” มีโครงตาข่ายเหล็กสีเทาเหมือนกิ่งไม้หอหุ้มเพดานและพนังอาคารทำด้วยวัสดุโปร่งใส มีลักษณะรูปทรง ถ้วยชามสีแดง และชมสระว่ายน้ำ สร้างด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุด มีรูปลักษณ์คล้าย “ก้อนน้ำสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่” เป็นโครงสร้างที่ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในการเดินเครื่องเพื่อกรองน้ำเสียของสระว่ายน้ำ และ กำแพงอาคารเหมือนฟองน้ำที่เคลื่อนไหวตลอดเวลา เราได้ถ่ายภาพเป็นที่ระลึก หลังจากถ่ายภาพเสร็จแล้ว ไปช็อปปิ้งต่อที่ ตลาดรัสเซีย ที่นี่เราสามารถเลือกซื้อสินค้าแบรนด์เนม ที่เลียนแบบสินค้ายี่ห้อดังต่าง ๆ อาทิ หลุยส์วิตตอง, พราด้า, เฟอร์รากาโม, เวอร์ซาเช่ เป็นต้น และต่อรองราคาได้มากอีกด้วย และเราก็อำลาปักกิ่งด้วยอาหารกลางวันมื้อสุดท้ายก่อนเดินทางกลับพร้อมกับความประทับใจไม่รู้ลืม
กนกวรรณ มโนไพสิฐนุกูล